ปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ณ สำนักงานชั่วคราววิทยาลัยการอาชีพไทรน้อย บริเวณโรงเรียนชุมชนวัดราษฎร์นิยม อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ผมได้พบกับเพื่อนผู้บริหารผู้หนึ่งซึ่งเคยอบรมผู้บริหารรุ่นเดียวกัน หลังจากได้สนทนาพูดคุยกัน จึงทราบว่ากำลังมาหาที่ดินเพื่อปลูกบ้านไม้เรือนไทยของพ่อตา ซึ่งถูกเวรคืนจากบริเวณถนนสาทร เมื่อทราบความประสงค์ผมจึงพาไปหาที่ดินจนได้ที่ดินจำนวน ๙ ไร่ อยู่ฝั่งตรงข้ามวิทยาลัยการอาชีพไทรน้อย (วิทยาลัยเทคนิคนนทบุรีปัจจุบัน) และหลังจากนั้นประมาณปีเศษบ้านเรือนไทยดังกล่าวก็ถูกรื้อจากถนนสาทร และนำมาปลูกในรูปทรงเดิมด้วยช่างจากจังหวัดเชียงราย ต่อมาผมจึงรู้ว่าเจ้าของบ้านไม้เรือนไทยหลังนี้ก็คือ ศ.ดร.แนมบุญสิทธิ์ ปรมาจารย์การสอนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น ซึ่งบุคลากรในวงการการศึกษารุ่นเก่า และผู้ที่อยู่ในแวดวงการศึกษานอกโรงเรียนให้ความเคารพ
หลังจากนั้นมาถือได้ว่าผมเป็นผู้โชคดีที่ได้มีโอกาสเสวนากับท่าน ในตอนเย็นหลังเลิกงาน และในวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งทำให้ทราบว่า ศ.ดร.แนม บุญสิทธิ์ พื้นเพท่านเป็นคนอำเภอสวี จังหวัดชุมพร ถึงแม้วันที่พบท่านมีอายุย่างเข้าปีที่ ๙๐ แล้ว แต่ความจำและความคิดความอ่านของท่าน ยังเหมือนคนวัยทำงานดูจากบุคลิกและความคิดเห็นของท่าน แสดงถึงอุดมการแนวทาง และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาด้านการศึกษาอยู่ตลอดเวลา ในอดีตที่ผ่านมาท่านได้ทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ดังนี้
- ร่วมก่อตั้งสมาคมการศึกษาแห่งประเทศไทยกับ ศ.ดร.สาโรช บัวศรี , ศ.ดร.ก่อสวัสดิพาณิชย์ และ ศ.เชื้อ สาริมาน เป็นต้น โดยจดทะเบียนสมาคมเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๔๙๘
- อาจารย์ใหญ่โรงเรียนส่งเสริมอาชีพก่อสร้างสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาได้ยกวิทยะฐานะ เป็นวิทยาลัยการก่อสร้าง ปัจจุบันคือ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง
- อาจารย์ใหญ่คนแรกของโรงเรียนสารพัดช่างธนบุรี กรมอาชีวศึกษา
- หัวหน้ากองส่งเสริมอาชีพเคลื่อนที่ กรมอาชีวศึกษา
- เป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยประเทศเกาหลี
- ท่านได้เรียบเรียงตำราการพูดภาษาอังกฤษและพจนานุกรมคำคุณศัพท์ และตำราเรียนพูดภาษาอังกฤษ ๑๐๐๐ คำ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ "พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ" ได้ให้เจ้าหน้าที่ในชุดปฏิบัติการพิเศษเคลื่อนที่เร็ว (ปะ-ฉะ-ดะ) ท่องคำศัพท์ในหนังสือเล่มนี้ทุกวัน เผื่อเวลาพบนักท่องเที่ยวจะได้ช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้
- นอกจากนั้น ศ.ดร.แนม บุญสิทธิ์ ยังได้เรียบเรียงตำราพูด 8 ภาษา ซึ่งเป็นประโยคง่ายๆที่ใช้ประจำในชีวิตประจำวัน
ท่านเป็นผู้ริเริ่มและจัดให้มีการจัดตั้ง หน่วยฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองส่งเสริมอาชีพ กรมอาชีวศึกษา ซึ่งหน่วยฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่นี้ จะใช้ยานพาหนะพาครูผู้สอน วัสดุอุปกรณ์ ไปสอนวิชาชีพให้กับประชาชนในถิ่นทุรกันดาร โดยการสนับสนุนด้านยานพาหนะ วัสดุ อุปกรณ์จากองค์การ "USOM" ของสหรัฐอเมริกา ที่ให้บริการและสนับสนุนหน่วยฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่ จำนวนหลายสิบหน่วย ที่ให้บริการการสอนวิชาชีพทั่วประเทศ ด้วยการเดินทางแยกย้ายไปสอนวิชาชีพทั่วทุกภูมิภาค โดยมีเป้าหมายเป็นพื้นที่ในถิ่นทุรกันดารและห่างไกลความเจริญ โดยมีโรงเรียนสารพัดช่างพระนคร ที่ตั้งอยู่บนถนนบำรุงเมือง ใกล้แยกแม้นศรี เป็นศูนย์กลางในการดำเนินงาน และนอกจากนั้นยังใช้เป็น "WARE HOUSE" สำหรับเป็นสถานที่จัดเก็บและเบิกจ่ายวัสดุอุปกรณ์ให้กับหน่วยฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่หน่วยต่างๆ ที่จะหมุนเวียนเข้ามารายงานผลการสอนโดยครูใหญ่แต่ละหน่วย โดยจะมีการรายงานผลการปฏิบัติงานทุกครั้งหลังจากการออกหน่วย ซึ่งในช่วงนี้ครูผู้สอนเองก็ได้มีโอกาสพักผ่อน ตรวจเช็คสภาพยานพาหนะ เบิกวัสดุอุปกรณ์ เตรียมการสอน และรับคำสั่งการสอนในพื้นที่อื่นๆต่อไป สำหรับการจัดตั้งหน่วยฝึกฝนอาชีพเคลื่อนที่นี้ ศ.ดร.แนม บุญสิทธิ์ได้กล่าวกับผมว่าท่านได้แนวคิดจากการที่ได้เห็นพระภิกษุ แยกย้ายออกบิณฑบาตในตอนเช้าในเส้นทางที่แตกต่างกัน และกลับเข้าสู่วัดซึ่งเป็นศูนย์กลาง และออกมาบิณฑบาตใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งท่านได้กล่าวต่ออีกว่าวิธีการในแบบวิถีพุทธนี้เป็นการเผยแพร่ที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึงมากที่สุด
จุดเปลี่ยนในชีวิตของท่านที่สำคัญคือ ในระหว่างที่ท่านทำหน้าที่หัวหน้ากองส่งเสริมอาชีพ ท่านได้พาผู้เชี่ยวชาญและผู้รู้ด้านวิชาชีพสาขาต่างๆ ไปเปิดสอนวิชาชีพระยะสั้นให้กับประชาชน ณ จังหวัดชุมพร ซึ่งวิชาชีพที่ท่านนำไปสอนในขณะนั้น เช่น การถัดเนคไท และการทำตรายาง เป็นต้น โดยจะเปิดสอนให้ฟรี ทำให้ประชาชนให้ความสนใจเดินทางมาเรียนกันเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะมีการจัดหลายครั้งคนก็ยังไม่ลดน้อยลง แต่กลับมีผู้คนจากท้องที่อื่นเดินทางเข้ามาเรียนอีกเป็นจำนวนมาก จึงทำให้บุคคลที่ทำงานหน่วยงานเดียวกันมีความอิจฉา เกรงว่าท่านจะมีผลงานและได้รับตำแหน่งสำคัญ จึงให้ร้ายท่านว่าท่านกำลังซ่องสุมผู้คน และมีการกระทำตนเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้ทางการสมัยนั้นประกาศจับตัวท่าน แต่ก็ได้มีผู้หวังดีช่วยเหลือท่านจนได้ออกนอกประเทศ และไปอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านระยะหนึ่ง แล้วจึงเดินทางต่อไปยังประเทศเกาหลี เมื่อมหาวิทยาลัยในเกาหลีทราบข่าวจึงได้เชิญให้ท่านเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย ท่านอาศัยอยู่ในเกาหลีเป็นเวลานานหลายปี หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปอาศัยต่อในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ระยะหนึ่ง แล้วจึงเดินทางกลับประเทศไทยในวัย 80 เศษ
จากการที่ผมได้มีโอกาสเสวนากับ ศ.ดร.แนม บุญสิทธิ์ ทำให้ทราบว่าผู้ที่จะเป็นปูชนียบุคคล ซึ่งเป็นบุคคลที่ควรเคารพนั้น จะไม่ถือตัวมีความเป็นกันเอง พร้อมที่จะให้ความรู้ มีความคิดเชิงบวก และมีเมตตาสูง สังเกตุเวลาที่ผมแสดงความคิดเห็น หรือเล่าเรื่องบางอย่างให้ท่านฟัง ท่านจะสงบนิ่งและตั้งใจฟัง ตาจ้องมองผู้พูดตลอดเวลา ไม่ขัดจังหวะการพูด รอจนพูดจบท่านจึงจะพูดพร้อมกับการให้ข้อแนะนำด้วยแนวคิดที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ท่านมีความเป็นปราชญ์เต็มตัว ท่านไม่หยุดที่จะเรียนรู้ หากมีสิ่งใดที่ท่านสงสัยท่านจะสอบถามทันที สิ่งที่ท่านพกติดตัวตลอดเวลาก็คือสมุดเล่มเล็กๆและปากกาลูกลื่น ซึ่งท่านจะใช้จดสาระสำคัญหรือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดของท่าน ท่านได้ดำรงตนและยึดถือความมีหัวใจเป็นนักปราชญ์ คือ สุ-จิ-ปุ-ลิ ตลอดเวลา
ท่านมีความเป็นห่วงว่าเด็กไทยเรา มีความรู้ด้านภาษาต่างประเทศน้อย โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ท่านเรียกภาษาอังกฤษว่าเป็น "ภาษาของโลกเรา" ผมเคยได้เรียนถามท่านว่าเหตุใดคนไทยเราเรียนภาษาอังกฤษมาก็หลายปีเรียนจนจบถึงระดับปริญญาก็ยังไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ซึ่งท่านได้ให้ข้อคิดว่าสาเหตุที่ประเทศเราไม่ประสบความสำเร็จในการสอนภาษาอังกฤษ หรือไม่สามารถสอนให้สามารถสื่อสารได้นั้น สาเหตุก็เนื่องจากหลักสูตรการสอนและครูผู้สอนของเราสอนแต่ไวยากรณ์ ซึ่งผิดหลักธรรมชาติ การเรียนรู้ภาษาต้องเรียนทักษะการใช้ภาษาในการสื่อสารก่อน เหมือนการที่เราพูดภาษาไทยได้ เราก็ต้องหัดพูดมาก่อน จากนั้นจึงมาเรียนการอ่านเขียน แต่การเรียนภาษาอังกฤษของไทย ครูจะสอนอ่านเขียนหรือไวยากรณ์ก่อน โดยไม่สนใจการสอนวิธีการพูด กอรปกับคนไทยเราเป็นคนขี้อาย การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยจึงไม่สามารถอยู่ในระดับที่จะสื่อสารกับชาวต่างประเทศได้
ศ.ดร.แนม บุญสิทธิ์ เคยกล่าวกับผมว่า หากเราได้ครูผู้สอนในชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย มาจากผู้ที่สำเร็จวิชาชีพสายตรง การเรียนการสอนในช่วงชั้นดังกล่าวก็จะมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ที่จบวิชาชีพสายตรง เช่นผู้ได้วุฒิทางวิทยาศาสตร์ (วทบ.) หรือผู้ที่ได้วุฒิทางอักษรศาสตร์ (อบ.) จะได้รับการศึกษาอบรมและเรียนรู้เนื้อหาวิชาชีพในสาขานั้นๆอย่างเข้มข้น ดังนั้นหากรับเข้ามาเป็นครูก็เพียงแต่ต่อยอดวิชาครูให้ก็จะสามารถสอนนักเรียนได้แล้ว ที่สำคัญครูเหล่านี้จะสามารถสอนให้นักเรียนมีความรู้ในศาสตร์นั้นๆได้ลึกซึ้งกว่าผู้ที่จบวิชาชีพครู เนื่องจากผู้ที่จบสายครูจะต้องเรียนวิชาชีพครูจำนวนมาก ทำให้การเรียนในวิชาชีพหลักมีจำนวนน้อย ซึ่งท่านได้ยกตัวอย่างให้ฟังว่า หากเปรียบเทียบความรู้ซึ้งในศาสตร์ "ภาษาอังกฤษ" ระหว่างผู้ที่จบ "ครุศาสตร์ (ภาษาอังกฤษ)" กับผู้ที่จบ "อักษรศาสตร์ (ภาษาอังกฤษ)" ผู้ใดจะมีความรู้ภาษาอังกฤษมากกว่ากัน
สำหรับการเรียนการสอนด้านอาชีวศึกษา ท่านได้ให้ทัศนะว่าการศึกษาด้านอาชีพเพื่อไปประกอบอาชีพ หรือการให้ผู้เรียนได้มีความรู้และทักษะจริงๆนั้น สถานศึกษาควรจัดให้มีการเรียนทีละวิชา จากวิชาพื้นฐานไปหาวิชาชีพขั้นที่สูงขึ้น เช่นการเรียนวิชาการติดตั้งระบบไฟฟ้า ก็ควรเรียนรายวิชาการเดินสายไฟฟ้าในอาคารก่อน เมื่อเรียนจบจึงเรียนรายวิชาการปักเสาพาดสาย จากนั้นจึงเรียนรายวิชาการติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งก็จะทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้ และมีโอกาสได้ฝึกทักษะอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง นอกจากนั้นผู้เรียน ยังสามารถนำความรู้และทักษะที่เรียนจบ ในแต่ละช่วง ไปประกอบอาชีพได้อีก ลักษณะการเรียนเช่นนี้คือการเรียนในหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น หรือที่เรียกว่า "Block release" หรือ "ฺBlock course" ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้เรียนในหลักสูตรดังกล่าว จะมีความรู้และทักษะพร้อมที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ทันที แต่ในการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาในระบบ โดยเฉพาะหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สถานศึกษาอาชีวศึกษาแทบทั้งหมดจะจัดตารางเรียนในลักษณะการเรียนวิชาสามัญ โดยจะมีการเรียนการสอนในรายวิชานั้นๆ สัปดาห์ละ 3-6 ชั่วโมง หากผู้เรียนจะเรียนวิชานี้อีกก็ต้องรอเรียนสัปดาห์ต่อไป จึงทำให้ความรู้และทักษะของผู้เรียนไม่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้สำเร็จการศึกษาในระดับนี้ น่าจะมีความรู้และทักษะไม่เพียงพอที่จะออกไปประกอบอาชีพได้
ถึงแม้วันนี้ ศ.ดร.แนม บุญสิทธิ์ ซึ่งเป็นที่รักเคารพของผม และของอีกหลายๆคน จะล่วงลับไปแล้วตามกาลเวลาและสังขาร แต่สิ่งที่ท่านฝากไว้กับวงการการศึกษาคงไม่วันลบเลือนไปได้ ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับปรมาจารย์ด้านการศึกษา ที่เพียบพร้อมด้วยความรู้ความดี ความเมตตา แต่ไม่มีโอกาสได้พัฒนาความเจริญให้กับวงการศึกษาไทยได้มากเท่าที่ควร สาเหตุก็เนื่องจากการให้ร้ายกันเองในวงงานราชการ จนเราต้องสูญเสียผู้คนที่มีความรู้ความสามารถไปคนแล้วคนเล่า ซึ่ง ศ.ดร.แนม บุญสิทธิ์ ได้เคยกล่าวกับผมว่า "คนไทยเราควรแข่งกันทำความดีแข่งกันพัฒนามิใช่ว่าจะใช้ความอิจฉาของตนมาทำร้ายและกดคนอื่นให้ต่ำกว่าตน ผลก็คือประเทศเราก็จะมีแต่ตกต่ำ ไม่สามารถเจริญก้าวหน้าได้ทัดเทียมกับอารยะประเทศได้"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น