พานิชพล มงคลเจริญ

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

ชีวิตที่สุขสงบ ลดทุกข์ให้กับตนเอง และผู้อื่น

คำพระท่านได้กล่าวถึงเคร็ดลับในการครองชีวิตการเป็นมนุษย์ให้มีความสุขไว้ว่า "หากยังไม่แต่งงานก็ไม่ต้องแต่ง หากแต่งงานแล้วก็อย่าเลิก แต่ถ้าจำเป็นต้องเลิกก็อย่าแต่งงงานใหม่ "

"หากยังไม่แต่งงานก็ไม่ต้องแต่ง" คนที่ยังเป็นโสดจะไม่มีพันธะผูกพันอะไร ไม่มีห่วง มีภาระต่างๆน้อย และเห็นว่าคนที่แต่งงานแล้วย่อมมีภาระและความรับผิดชอบตามมาอีกมาก ต้องมีความห่วงใยซึ่งกันและกัน หากอีกฝ่ายประสบภัย หรือต้องพลัดพรากกัน ก็จะเกิดความทุกข์ทบเท่าทวี

"หากแต่งงานแล้วก็อย่าเลิก" คนที่แต่งงานกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต้องใช้ความอดทนสูง เอื้ออาทรต่อกัน แต่หากต้องเลิกกัน อาจมีสาเหตุจากความขัดแย้ง หรือความเห็นไม่ตรงกัน หรือเรื่องอื่นๆที่ไม่สามารถทนกันได้ ชีวิตครอบครัวล่มสลาย บอบช้ำกันทั้งคู่ ส่งผลให้เกิดความทุกข์กับลูกหลาน และเครือญาติ ดังนั้นผู้ที่ตกลงใชัชีวิตคู่กันแล้ว ก็อย่าเลิกกัน เพราะเท่ากับเป็นการก่อกรรมให้กับตนเอง และผู้อื่น

"หากเลิกก็อย่าแต่งงานใหม่" อย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตคู่ บางครั้งก็ไม่สามารถประคับประคองให้ตลอดรอดฝั่งไปได้ ยิ่งในยุคปัจจุบัน ผู้ที่ต้องเลิกร้างห่างกันมีเป็นจำนวนมาก เพราะการแต่งงาน มักใช้ฐานของ SEX ฐานะทางสังคม ฐานะทางการเงิน และหน้าตา เป็นสำคัญ ไม่ได้ใช้ความเข้าใจ ความเอื้ออาทรที่มีต่อกันเป็นฐานของการมีชีวิตคู่ ในสมัยก่อนพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจะช่วยพิจารณา ว่าหนุ่มสาวคู่นี้เหมาะสมกันหรือไม่ โดยพิจารณาจากความขยันแข็งในการงาน เป็นคนดีมีศีลธรรม (ผู้ชายจะต้องบวชเรียนแล้ว) ผ่ายหญิงก็จะต้องมีฝีมือการปรุงอาหาร (เสน่ห์ปลายจวักผัวรักจนวันตาย) ชีวิตครอบครัวก็อยู่กันยืนยาว แต่หากจำเป็นต้องแยกทางกัน ก็ไม่ควรแต่งงานใหม่ เพราะคนที่มีครอบครัว แต่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ อาจมีข้อบกพร่องที่ไม่เหมาะกับการมีชีวิตคู่ แต่ถ้าหากแต่งงานใหม่ก็จะพบกับปัญหาเดิมๆ และก็อาจจะเลิกกันได้อีก ก่อให้เกิดความทุกข์อยู่ร่ำไปไม่จบไม่สิ้น

จากคำสอนในแนวพุทธนี้ จะเห็นได้ว่าเน้นการใช้ชีวิตที่ผาสุก ลดทุกข์ให้กับตนเอง และป้องกันทุกข์ที่จะเกิดกับผู้อื่น ไม่มีบาปติดตัว มุ่งสู่สายธารแห่งธรรม ก้าวสู่ความหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง มีชีวิตที่สุขสงบทั้งโลกนี้ และโลกหน้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น