พานิชพล มงคลเจริญ

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

“เมรุปูนวัดสระเกศ” เมรุเกียรติยศที่เหลือแต่ชื่อ

หลายท่านคงเคยได้ยินคำว่า แยกเมรุปูนซึ่งแยกนี้เป็นแยกที่ตัดกับถนนบำรุงเมืองที่มาจากเสาชิงช้า ผ่านแยกสำราญราษฎร์ หรือที่เรียกกันว่า ประตูผีแล้วจึงผ่านแยก เมรุปูนทอดยาวสู่แยกแม้นศรี แต่เดิมนั้นยังไม่มีถนนบำรุงเมือง ดังนั้นถนนบำรุงเมืองและบริเวณพื้นที่ทั้ง 2 ฟากฝั่งนี้ จึงเป็นพื้นที่ผืนเดียวกันกับวัดสระเกศฯ สำหรับจุดที่เป็นที่ตั้งของ เมรุปูนวัดสระเกศ ก็อยู่ภายในบริเวณวิทยาลัยสารพัดช่างพระนครในปัจจุบันนั่นเอง

ป้ายอธิบายความเป็นมา ณ แยกเมรุปูน

เมรุปูนวัดสระเกศ เป็นเมรุที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) แต่ครั้งยังเป็นพระยาพิพัฒน์รัตนราชโกษา เป็นนายช่างสร้างเมรุด้วยการก่ออิฐถือปูน  ซึ่ง เมรุปูนวัดสระเกศ นี้ ถือได้ว่าเป็นเมรุเกียรติยศที่พระเจ้าแผ่นดินทรงเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพตั้งแต่รัชกาลที่ ๓   เช่นเดียวกับเมรุราชอิศริยาภรณ์ ที่ตั้งอยู่ในวัดเทพศิรินทราวาสปัจจุบัน

สมเด็จพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค)
เมรุปูนวัดสระเกศ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นนี้ เพื่อใช้สำหรับพระราชทานเพลิงพระศพเจ้านาย และศพข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่มีการก่อสร้างอย่างปราณีตสมบูรณ์ยิ่งกว่าเมรุปูนของวัดอรุณราชวราราม และวัดสุวรรณาราม ที่ได้สร้างมาก่อนหน้านี้แล้ว เมรุปูนวัดสระเกศ มีสิ่งก่อสร้างบริเวณรอบเมรุ เช่น พลับพลา โรงธรรม โรงครัว โรงมหรสพ ตลอดจนพุ่มกัลปพฤกษ์ และระทา (หอสี่เหลี่ยมทรงยอดเกี้ยว ใช้สำหรับจุดดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล ในพิธี) ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ล้วนทำด้วยการก่ออิฐถือปูนทั้งสิ้น

ลักษณะของระทาดอกไม้

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตัดถนนบำรุงเมือง โดยการตัดผ่านของถนนเส้นนี้ ทำให้กุฎีวัดสระเกศกับบริเวณ เมรุปูน แยกออกจากกันคนละฝั่งถนน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการแก้ไขบริเวณเมรุปูนนี้ให้เหมาะสมกับถนนที่ตัดขึ้นใหม่


ถนนบำรุงเมืองในอดีตบนถนนมีทางรถราง
และจะมองเห็นเสาชิงช้าอยู่สุดถนน
ต่อมาเมื่อ สภาพของ เมรุปูน มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากอยู่ติดกับถนน และมีอาคารบ้านเรือน อยู่ในบริเวณใกล้เคียงมากขึ้น จึงไม่เหมาะที่จะทำการฌาปนกิจศพ จึงได้ยุบเลิก เมรุปูน ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และทางวัดสระเกศก็ได้มอบสถานที่นั้นให้เป็นที่ตั้งของ โรงเรียนช่างไม้วัดสระเกศ และต่อมาในปี พ.ศ. 2504 จึงมอบพิ้นที่นี้ต่อให้กับกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งขึ้นเป็น โรงเรียนสารพัดช่างพระนคร และยกวิทยฐานะเป็น วิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร จนปัจจุบัน

ด้านหน้าวิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร

หากท่านได้มีโอกาสเข้าไปในวิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร ท่านจะเห็นองค์พระวิษณุกรรมเทพแห่งการช่างพระวรกายสีทองยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างหน้า จุดนี้คือจุดที่ตั้งของ เมรุปูน ในสมัยนั้น และหลักฐานชิ้นสุดท้ายของ เมรุปูน ที่คนรุ่นเราได้พบเห็นก็เพียงชิ้นส่วนที่เป็นเพียงบันไดของเมรุ ขณะที่มีการซ่อมพื้นแผนกวิชาช่างยนต์ ทำให้ได้ขุดพบบันไดเมรุที่ทำด้วยปูนอยู่ลึกลงไปใต้ดิน โดยเชิงบันไดทอดยาวไปทางด้านทิศตะวันออก เหตุนี้เององค์พระวิษณุกรรมที่สถิตอยู่ ณ จุดที่เคยเป็นที่ตั้งของ เมรุปูน จึงบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก หลายคนได้พบได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของท่านมากมาย ชุมชนและชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง ตลอดจนครูอาจารย์ และนักเรียนนักศึกษา ให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง

องค์พระวิษณุกรรมตรงจุดที่ตั้งเมรุปูน

เมรุปูนวัดสระเกศ ในอดีต ก็เคยใช้เป็นแหล่งพักผ่อน ของคนไทยในสมัยนั้น เพื่อชมมหรสพ จึงมีการเรียกสถานที่แห่งนี้อีกชื่อหนึ่งว่า วิกเมรุปูนนอกจากนั้นยังมีการนำของกินของใช้มาจำหน่ายให้กับผู้คนที่เข้ามาดู โขน ลิเก ละคร หุ่นกระบอก

การแสดงลิเก

ผู้คนชั้นสูงมากมายได้ใช้สถานที่แห่งนี้ ประกอบพิธีกรรมครั้งสุดท้ายในชีวิตมาอย่างยาวนาน และถึงแม้ เมรุปูนวัดสระเกศ จะเคยเป็นเมรุเกียรติยศ จะเหลือแต่เพียงชื่อ และความทรงจำครั้งอดีต แต่ก็ยังดีที่ยังสามารถถ่ายทอดร่องรอยที่เป็นชื่อให้ชนรุ่นหลังได้จดจำ